ปลูกผมคืออะไร สุดยอดวิธีในการพิชิตผมร่วง
ในปัจจุบันศัลยกรรมความงามกำลังเป็นที่นิยมกันมากซึ่งแม้แต่ผู้ชายที่สนใจศัลยกรรมความงามน้อยกว่าผู้หญิงก็ยังต้องหันมามองการปลูกผมเพราะปัญหาผมร่วงศีรษะล้าน ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีในคนผมน้อยว่าแม้จะใช้ยาปลูกผมไปเท่าไรก็ตามก็ยังไม่สามารถทำให้ผมดกขึ้นตามที่ต้องการสักที บางคนคงเคยได้ยินนะครับว่าคงต้องมาจบด้วยวิธีการสุดท้ายที่ต้องขึ้นเตียงผ่าตัดปลูกผมกัน เรามาดูกันนะครับว่าการปลูกผมที่ถือเป็นสุดยอดวิธีการทำให้ผมดกมันเป็นอย่างไร
สารบัญ คลิกอ่าน
ยาปลูกผม เซตละ 990-/เดือน
ยาทาปลูกผม ยาหยอดผม แชมพู
ปลูกผม คือ อะไร
ปลูกผม (Hair transplantation / restoration) เป็นวิธีการผ่าตัดที่ทำการเคลื่อนย้ายเส้นผมหรือเส้นขนจากบริเวณนึงมายังบริเวณที่ต้องการ หากให้เทียบง่ายๆ ก็คล้ายกับการปลูกต้นไม้นั่นแหละครับ บริเวณไหนที่เป็นที่โล่งไม่มีต้นไม้ก็ทำการย้ายต้นไม้จากบริเวณที่ขึ้นอย่างหนาแน่นมาปลูกแทนที่ ซึ่งในกรณีปลูกผมนั้นเรามักจะเลือกเส้นผมจากหนังศีรษะบริเวณด้านข้างและด้านหลังแล้วย้ายมาปลูกบริเวณด้านหน้าหรือบริเวณขวัญ
สังเกตนะครับว่าผมใช้คำว่า “เคลื่อนย้าย” ไม่ใช่การโคลนนิ่ง ดังนั้นจำนวนเส้นผมหลังการผ่าตัดจะไม่มีจำนวนมากไปกว่าก่อนการผ่าตัด ส่วนเส้นผมที่นำมาปลูกนั้นจะอยู่กับหนังศีรษะเราไปตลอดซึ่งอาจจะมีการหลุดร่วงไปตามช่วงวงจรของเส้นผมแต่ก็จะงอกกลับขึ้นมาใหม่เหมือนเส้นผมตามปกติ
ผมร่วงแค่ไหนถึงจะปลูกผม
ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าไม่ใช่ทุกคนจะปลูกผมได้ ซึ่งตามประสบการณ์ของหมอจะพบว่าการปลูกผมเหมาะกับบุคคลดังต่อไปนี้
- คนที่มีหนังศีรษะล้าน (คือไม่มีเส้นผมเลย) หรือผมบางมากประเภทมีแต่เส้นขนฝอยๆ ดังนั้นในคนไข้ที่มีผมบางเล็กน้อยจะเหมาะกับการรักษาวิธีอื่นมากกว่า เช่น การใช้ยา เป็นต้น
- หน้าผากกว้าง หน้าผากสูงแต่กำเนิด
- ต้องการซ่อนแผลเป็นที่เกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัดยกหน้ายกคิ้ว หรือเส้นผมบริเวณจอนหายไปจากการผ่าตัดยกใบหน้า
- คนที่มีแผลเป็นที่เกิดจากอุบัติเหตุ แผลไฟไหม้ หรือแผลติดเชื้อ
แต่ทั้งนี้เกือบร้อยละ 90 ของคนที่มาปลูกผมจะเป็นเพศชายที่มีภาวะผมบางทางพันธุกรรม (Androgenetic alopecia) หรือพูดง่ายๆ ก็คือ มีคนในครอบครัวผมบางศีรษะล้านแล้วตัวเราเองก็ผมบางตามไปด้วย โดยโรคนี้พบได้บ่อยมากประมาณกันว่า 30-50% ของผู้ชายทั่วโลกจะมีภาวะนี้และอาการผมร่วงจะรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ การปลูกผมสามารถปลูกได้กับกลุ่มผู้ชายเหล่านี้ตราบเท่ายังมีเส้นผมด้านข้างและด้านหลังหลงเหลือเยอะอยู่

อายุก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณานะครับ เช่น คนไข้ 20 ปีมีศีรษะล้านแบบขุนช้าง (ศีรษะล้านตั้งแต่ด้านหน้าไปด้านหลัง) กรณึนี้เราคงจินตนาการได้นะครับว่าอายุยังน้อยก็มีศีรษะล้านรุนแรงแล้ว หากต่อไปอีก 20 ปีข้างหน้าจะรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกแค่ไหน ซึ่งก็คงไม่เหมาะกับการปลูกผมแน่ๆ เพราะคงไม่มีเส้นผมเหลือมากพอที่จะมาปลูกผม ดังนั้นคลินิกปลูกผมมักจะกำหนดอายุขั้นต่ำที่จะสามารถปลูกผม เช่น 20-30ปี ขึ้นไป
ปลูกผม มีกี่ประเภท
ในปัจจุบันเทคนิคการปลูกผมที่นิยมแบ่ง 2 ประเภท คือ ปลูกผมด้วยวิธีผ่าตัด (FUT) กับวิธีเจาะ (FUE)
วิธีแรก (FUT) จะใช้การผ่าตัดเอาผมส่วนนึงออกมาแล้วเย็บแผลให้ติดกัน (ตามรูปด้านล่าง) ส่วนวิธี FUE จะใช้หัวเจาะที่เล็กมากๆ ขนาด 0.7-1.0 มม. เจาะครอบเส้นผมแล้วดึงเส้นผมออกมา ซึ่งการทำ FUE นั้นสามารถแบ่งย่อยออกได้อีกเป็น
- Manual FUE คือ แพทย์จะใช้นิ้วมือจับหัวเจาะแล้วปั่นเจาะเส้นผมเองโดยตรง ซึ่งในปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็นวิธีนี้เท่าไร
- Power FUE คือ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามาแทนที่การหมุนด้วยนิ้วมือ ซึ่งจะช่วยทุนแรงในการเจาะ
- Robotic FUE คือ ใช้หุ่นยนต์เจาะแทน ส่วนแพทย์คอยควบคุมหุ่นยนต์อยู่ข้างๆ วิธีนี้มักจะมีค่าใช้จ่ายสูงสุดเมื่อเทียบกับวิธีข้างต้น
ส่วนใครจะเหมาะกับ FUT หรือ FUE นั้น สามารถเข้าไปอ่านได้ที่บทความนี้ครับ FUT หรือ FUE แบบไหนดีกว่ากัน


ปลูกผมเจ็บมากไหม
จากประสบการณ์ที่ฟังมาจากคนไข้พบว่าความเจ็บจะประมาณผ่าฟันคุดครับ (คนที่เคยผ่าตัดฟันคุดก็จะเข้าใจดี) โดยความเจ็บจะแบ่งเป็น 2 ช่วง
- ช่วงระหว่างผ่าตัด จะเจ็บเฉพาะตอนฉีดยาชา บริเวณด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งโดยทั่วไปทางหมอและคลินิกจะมีวิธีทำให้เจ็บจากการฉีดยาชาให้น้อยที่สุดอยู่แล้ว ช่วงนี้จึงไม่เป็นปัญหาเท่าไร
- หลังผ่าตัด (หลังยาชาหมดฤทธิ์) ช่วงนี้แหละครับที่หลายคนบ่นปวดมากสุดซึ่งจะเป็นบริเวณด้านข้างและด้านหลังของศีรษะ ระดับความเจ็บจะประมาณผ่าฟันคุด คือ ปวดช่วง 1-2 คืนแรก จากนั้นก็จะไม่ค่อยรู้สึกปวดเท่าไร อาการปวดช่วงนี้สามารถบรรเทาได้จากการทานยาแก้ปวดที่คลินิกจัดหาไว้ให้ครับ
ส่วนใหญ่การปลูกผมแบบ FUE มักจะมีอาการเจ็บปวดน้อยกว่า FUT ครับ (แต่ก็มีคนไข้บางคนกลับมาบอกว่า FUE เจ็บมากกว่า FUT เช่นกัน)
ค่าใช้จ่าย
หลายคนคงเคยได้ยินว่าการปลูกผมมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง โดยการปลูกผมในแต่ละครั้งมักมีค่าใช้จ่ายหลักหมื่นถึงหลักแสนบาท ทั้งนี้ต้องเข้าใจนะครับว่าการปลูกผมเป็นงานละเอียด ปลูกผมแต่ละคนจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4-6 ชั่วโมง ซึ่งเมื่อเทียบกับศัลยกรรมความงามอื่นๆ แล้วจะพบว่าค่ารักษาจะดูเหมือนถูกไปเลยเมื่อนำไปหารกับจำนวนชั่วโมงในการผ่าตัด
ค่าใช้จ่ายปลูกผมโดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับจำนวนกราฟผมหรือจำนวนเส้นผมที่ปลูก สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าไปอ่านได้ในบทความเรื่อง ปลูกผม ราคาเท่าไร
ยาปลูกผม เซตละ 990-/เดือน
ยาทาปลูกผม ยาหยอดผม แชมพู
ต้องใช้ยาปลูกผมหลังผ่าตัดหรือไม่
คำถามยอดฮิตสำหรับผู้ที่อยากปลูกผมทุกคน การที่จะต้องกินหรือทายาปลูกผมหรือไม่นั้นขึ้นกับว่าปัญหาผมบางศีรษะล้านเกิดจากอะไร
ถ้าคนที่มาปลูกผมจากสาเหตุหน้าผากสูง หน้าผากกว้างตั้งแต่กำเนิด หรือมีแผลเป็นที่หนังศีรษะก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ยาเพิ่มเติม
แต่หากคนที่มาปลูกผมเกิดจากภาวะผมบางทางพันธุกรรม ก็ต้องเข้าใจนะครับว่าการปลูกผมไม่ได้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุซึ่งก็คือ กรรมพันธุ์และฮอร์โมนเพศชาย (ทั้งนี้หมอก็ไม่แนะนำแก้ไขต้นเหตุโดยการตัดให้เป็ดกินนะครับ) ดังนั้นในคนไข้ประเภทนี้จึงแนะนำว่าหากใช้ยาปลูกผมร่วมด้วยได้ก็จะดีที่สุด เพราะจะช่วยชะลอภาวะผมบางศีรษะล้านไม่ให้เกิดช่องว่างระหว่างผมที่ปลูกกับผมดั้งเดิมที่กำลังหลุดร่วงไป ไม่เช่นนั้นแล้วคนไข้ก็ต้องกลับมาปลูกผมซ้ำอีกเพื่อทดแทนผมที่หายไป
ต้องเตรียมตัวก่อนและหลังผ่าตัดอย่างไร
การผ่าตัดปลูกผมถือเป็นการผ่าตัดเล็กแต่ใช้เวลานานมาก คนไข้ไม่จำเป็นต้องดมยาสลบเลยมีเพียงแค่การฉีดยาชาและให้ยาคลายเครียดที่ทำให้ง่วงเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากนัก จะมีเพียงแค่ข้อปฏิบัติคร่าวๆ เช่น การงดยาหรืออาหารเสริมที่ทำให้เลือดออกง่าย (Fish oil ใบแปะก๊วย วิตามินอี โสมสกัด) เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ และสำหรับบุคคลที่มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคหัวใจ ก็ควรไปสอบถามแพทย์ประจำตัวก่อนการผ่าตัดว่าสามารถผ่าตัดเล็กได้หรือไม่
สำหรับข้อปฏิบัติหลังผ่าตัดจะเป็นเรื่องการดูแลรักษาผมที่ปลูก ซึ่งหากคนไข้ไม่ระมัดระวังไปเกิดอุบัติเหตุกระทบกระแทกศีรษะบริเวณที่ปลูกก็อาจทำให้เส้นผมหลุดออกมาได้ในช่วง 1 สัปดาห์แรก เส้นผมหลังปลูกจะมีลักษณะเป็นตอผมแล้วจะหลุดร่วงออกมาเองในช่วง 3 อาทิตย์แล้วจะกลับมางอกใหม่ในอีก 4-6 เดือนต่อมา กว่าคนไข้จะเริ่มดูดีได้ เซ็ตผมได้สวยก็ต้องใช้เวลา 9-12 เดือนเป็นอย่างน้อย ดังนั้นจึงควรกะระยะเวลาให้ดีหากต้องการไปงานพิธีสำคัญต่างๆ (เคยมีคนไข้อยากปลูกผมก่อนแต่งงาน 5 เดือนแต่ก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจไปเพราะผมงอกไม่ทันงานแต่ง)